ขุมทรัพย์ ‘สเตฟาน’ ใช้ตังค์คืนละ 5 หมื่น รวยกว่าเป็นพระเอก

หายหน้าหายตาจากวงการบันเทิงไปนานพอสมควรสำหรับอดีตพระเอกดัง สเตฟาน ซาลาโมเน่ หรือ ฐสิษฐ์ สินคณาวิวัฒน์

นักแสดงหนุ่มครึ่งไทย-อิตาลี ปัจจุบันทำให้เราอาจจะไม่ค่อยเห็นหน้าเห็นตา สเตฟาน กันสักเท่าไหร่ อาจจะเนื่องด้วยทางช่อง

ที่มีนักแสดงหน้าใหม่เพิ่มมากขึ้น บวกกับรูปร่างของ สเตฟาน ที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เลยทำให้หายไปจากงานในวงการบันเทิง

ทั้งนี้ สเตฟาน ฐสิษฐ์ เปิดใจถึงเหตุผลที่ออกจากวงการบันเทิง เพราะรู้ว่าเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง และรู้สึกเบื่อกับการทำงานในวงการ

และมักจะถูกคนในสังคมมาตัดสินอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ไม่มีความสุขกับการเป็นดารานักแสดงเท่าไร และอีกเหตุผลเนื่องมาจากคุณแม่ได้

ไม่สบายหนักเมื่อหลายปีก่อน เลยอยากจะออกมาดูแลแม่ และอยู่กับแม่ให้ได้มากที่สุด เพราะตลอดเวลาที่ทำงานในวงการไม่ค่อยจะมี

วันหยุดได้อยู่กับครอบครัว หาแต่ตังค์เลี้ยงครอบครัวเท่านั้น ตอนนี้ผันตัวเองมาเป็นคนสตรีมเกม แม้ตังค์จะไม่มาก แต่ก็มีความสุขในสิ่งที่

ตัวเองทำอยู่ จู่ๆ ก็หายหน้าหายตาไปจากวงการบันเทิง สำหรับพระเอกหนุ่ม สเตฟาน ฐสิษฐ์ สินคณาวิวัฒน์ ทั้งๆ ที่ตอนนั้นสเตฟาน

ถือว่าเป็นพระเอกอันดับต้นๆ ของช่องหลากสี ที่จากตอนแรกคิดว่าจะพักงาน อย่างไรก็ดีแม้สเตฟานจะไม่เป็นพระเอก แต่เขานั้นก็ได้

ผันตัวทำกิจการมากมาย โดย ล่าสุดต้องบอกเลยว่าทางด้าน สเตฟาน เปิดตัวโรงแรมหรูย่านเยาวราช กับ โรงแรม 2499 เฮอริเทจ โฮเทล

ไชนาทาวน์ ในฐานะกรรมการบริหารใหญ่ บริษัท รูมเควส โฮเต็ล จำกัด ซึ่งต้องบอกเลยว่าธุรกิจใหม่ของเจ้าตัวนั่นดูจะไปได้ดีสุดๆเลยก็

ว่าได้ และพร้อมเปิดให้บริการในเดือนมีนาคม ปัจจุบัน สเตฟาน ได้ห่างวงการกว่า 13 ปีแล้ว เพื่อประกอบอาชีพทำกิจการส่วนตัว เช่น

คอนโดมิเนียม รวมถึงทำคอนเทนท์ร่วมกับเพื่อนสนิทในชื่อ Antihero และ ข้าวแกงหม่อมถนัดแดก จนถึงปัจจุบันนี้อย่างไรก็ดีสเตฟาน

เคยเปิดใจด้วยถึงชีวิตที่ใช้ตังค์วันละ 5 หมื่น โดยเล่าว่า ถามว่าไม่เสียดายตังค์เหรอ ผมเล่นละครเรื่องนึงผมก็ได้เป็นล.แล้ว ผมโชว์ตัว

ชั่วโมงนึงก็ได้เป็นแสนแล้ว เมื่อก่อนผมใช้ตังค์เก่ง ผมกินเหล้ๅทุกวัน วันละ 5 หมื่น ผมอยากได้รถผมซื้อตังค์สดเลย ซื้อของทุกวันแต่ก็

ไม่มีความสุขเลย แต่ตอนนี้ผมมาสตรีมเกม เพราะผมชอบเล่นเกม ไม่ได้หวังอะไรเลยนะ คนชอบดูผมเล่นเกมแล้วมีความสุขผมก็ดีใจ มีคนถามผมเยอะนะว่าทำไมถึงออกจากวงการ วันนี้คงได้รู้แล้วว่าเพราะอะไร”